วันเสาร์, ธันวาคม 28, 2024
ชลบุรีพัทยาสัตหีบอาชญากรรม

ผบช.ภาค2 นำทีมแถลงจับแก๊งฆ่าหนุ่มขับโบลท์ มีดจ้วงอก-เผานั่งยาง อ้างเครียดเรื่องครอบครัว แถมถูกด่าถึงบุพการี เลยสติแตก

       จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2567 เวลาประมาณ 17.09 น. สภ.หนองปรือ ได้รับแจ้งเหตุ พบศพถูกเผานั่งยาง บริเวณป่าละเมาะด้านข้างทางขึ้นไปวัดถ้ำประทุน หมู่ 8 ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2 จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2 (หัวหน้าทีมสืบสวน ภ.2) และพล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ลงไปกำกับดูแลเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 2 จึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนสอบสวนติดตามมาโดยตลอด จนพบพยานหลักฐานว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2567 เวลาประมาณ 04.00 น. ได้มีเหตุแทงกันบริเวณอ่างเก็บน้ำชากนอก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

          โดยมีพยานผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่า คนร้ายใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและลากร่างผู้ตายขึ้นไปบนรถขับรถยนต์หลบหนีไป ต่อมาทราบว่าผู้ตายประกอบอาชีพ ขับรถยนต์รับจ้างผ่านแอพพลิเคชั่นโบลท์ (Bolt) และจากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทำให้ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายธีรพรรดิ์ หรือวาฯ สงวนนามสกุล อายุ 22 ปี และน.ส.บี นามสมมติ อายุ 16 ปี ซึ่งทั้งคู่เป็นแฟนกัน ภายหลังจากเกิดเหตุได้มี นางเอลีย่าห์ หรือเอ สงวนนามสกุล อายุ 51 ปี ซึ่งเป็นมารดาของนายธีรพรรดิ์หรือวาๆ ได้มาช่วยทำลายศพ และนำเอารถยนต์ของผู้ตายไปขาย

           ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ม. ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจังหวัดชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองปรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยใหญ่ สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คน ได้แก่ 1.นายธีรพรรดิ์ หรือวาฯ สงวนนามสกุล อายุ 22 ปี ทำหน้าที่ใช้มีดแทงผู้ตายและชิงทรัพย์รถยนต์ของผู้ตายและทำลายศพ 2.น.ส.บีฯ นามสมมติ อายุ 16 ปี ทำหน้าที่ร่วมกันในการชิงทรัพย์รถยนต์ผู้ตายและทำลายศพ 3.นางเอลีย่าห์ หรือเอฯ สงวนนามสกุล อายุ 51 ปี ทำหน้าที่ช่วยซ่อนเร้นทำลายศพโดยวิธีการเผานั่งยางโดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ ห้องพักแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก

        จากการสอบถาม นายธีรพรรดิ์ หรือวาฯ ผู้ก่อเหตุแทงผู้ตายให้การรับสารภาพว่า สาเหตุของการก่อเหตุเนื่องจากบันดาลโทษะที่ตนเองไม่มีเงินจ่ายค่าโดยสารทำให้ถูกผู้ตายต่อว่านายธีรพรรดิ์ หรือวาๆ จึงได้ใช้มีดที่ตนเองพกมาด้วยแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย และได้ร่วมกับ น.ส.ปีฯ นำรถยนต์ของผู้ตายไป จากนั้นจึงได้โทรบอกเรื่องดังกล่าวให้ นางเอสีย่าห์ หรือเอฯ ทราบ และทั้ง 3 คน ได้ร่วมกันช่อนเร้นทำลายศพ โดยวิธีเผานั่งยาง

         เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกหมายจับและจับกุมตัว นายธีรพรรดิ์  หรือวาฯ และ นางเอลีย่าห์ หรือเอฯ และได้แยกการดำเนินคดีกับ น.ส.บีฯ อายุ 16 ปี เนื่องจากเป็นเยาวชน ตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งในคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ ทั้งจากกล้องวงจรปิดและพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยได้รับการประสานงานเป็นอย่างดี จากเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 2 (ชลบุรี)

ในส่วนของรถยนต์ผู้ตายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าได้ ผู้ก่อเหตุได้นำไปขายให้กับ นายพรเทพ จึงได้ทำกาติดตามตัว นายพรเทพฯ มาสอบปากคำ พร้อมทั้งยึดรถของกลาง นำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจเก็บพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไปการกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน นั้นเป็นการกระทำความผิดฐาน ร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธเป็นเหตุให้ ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีอัตราโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต และร่วมกันช่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็มท้วม ผบช.ภาค2 กล่าวด้วยว่า คดีดังกล่าวเป็นการลงมือก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยมสะเทือนขวัญประชาชน สำหรับผู้ต้องหา เบื้องต้นให้การรับสารภาพ แต่ยังขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่ตำรวจตรวจพบในบางประเด็น ส่วนที่สาเหตุที่ลงมือก่อเหตุ เกิดจากที่ผู้ก่อเหตุ ไม่มีเงินจ่ายค่าโดยสารประมาณร้อยกว่าบาท ประกอบกับเครียดเรื่องปัญหาในครอบครัง จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นด่าทอบุพการี ผู้ก่อเหตุจึงใช้อาวุธมีดจ้วงแทงเข้าที่หน้าอก แล้วมีการต่อสู้กันภายในตัวรถก่อนที่ตัวผู้ตายจะดิ้นลงจากรถเพื่อจะหนีเอาตัวรอด แต่ถูกผู้ก่อเหตุเกิดสติแตกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ วิ่งตามเข้าไปแทงซ้ำที่บริเวณลำคอจนเสียชีวิต ก่อนจะขนศพขึ้นรถแล้ว แล้วปรึกษาวางแผนทั้งสามคน แล้วนำศพไปทิ้งในป่าละเมาะโดยซื้อน้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ยางรถมอไซค์ 4 ที่ขโมยมา เป็นเชื้อเพลิงในการเผานั่งยาง

           ภายหลังเกิดเหตุผู้ก่อเหตุได้นำรถเก๋งไปขาย เพื่อหาเงินหลบหนี และคิดวางแผนไม่ให้ถูกจับกุม สุดท้ายไม่รอดถูกจับกุมได้ในที่สุด โดยตำรวจสามารถยึดพยานหลักฐานสำคัญได้หลายอย่าง โดยเฉพาะคราบเลือดที่ตรวจพบในตัวรถเก๋ง ที่เป็นหลักฐานสำคัญในการประกอบสำนวนคดี รวมถึงกล้องวงจรปิดที่จะเอาผิดได้ โดยยืนยันว่าคดีดังกล่าว เป็นการจับกุมคนร้ายตัวจริงอย่างแน่นอน เพราะมีพยานหลักฐานปรากฏเด่นชัด.