วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 19, 2024
ชลบุรีพัทยาสังคมสัตหีบ

คาร์ม็อบพัทยาครั้งที่ 2 ขับไล่นายกรัฐมนตรี

คาร์ม็อบพัทยาครั้งที่ 2 ขับไล่นายกรัฐมนตรี

คาร์ม็อบพัทยาครั้งที่ 2 คณะไทยไม่ทนร่วมกับ กปช. และกลุ่มแดงก้าวหน้า 63 แดงใหม่ภาคี 4 ภาค ย้ำขับไล่นายกรัฐมนตรี พร้อมเคลื่อนขบวนสู่อีสานและร่วมกิจกรรมกับส่วนกลางต่อเนื่อง

บ่ายวันที่ 8 ส.ค.64 ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี คณะไทยไม่ทนร่วมกับคณะกรรมการประชาชนขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ กปช. และกลุ่มแดงก้าวหน้า 63 แดงใหม่ภาคี 4 ภาค และประชาชนผู้เห้นด้วย ได้นัดหมายกันจัดกิจกรรมคาร์ม็อบพัทยา ครั้งที่ 2 รวมพลังขับไล่ประยุทธ์

ก่อนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางละมุง จะออกมาอ่านประกาศคำสั่งจังหวัดชลบุรีเรื่องมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ในช่วงการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้กับประชาชนที่ร่วมกิจกรรมว่าเข้าอาจการกระทำผิดทางกฎหมาย และให้ยุติการชุมนุมใน 30 นาที

จากนั้นนายวันเฉลิม กุนเสน เลขาคณะกรรมการประชาชนขับไล่เผด็จการแห่งชาติ ในฐานะแกนนำ ได้กล่าวปฏิเสธคำสั่งดังกล่าว โดยอ้างว่ากล่าวว่านายกรัฐมนตรีอาศัยอำนาจโดยมิชอบ ซึ่งต้องรอศาลตัดสินชี้ขาดว่าประชาชนเข้าข่ายกระทำผิดหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจะดำเนินการตามขั้นตอนก็แล้วแต่ดุลยพินิจ ส่วนแนวทางของกลุ่มผู้ชุมนุมในครั้งนี้นั้นต่อไปจะได้เคลื่อนขบวนไปร่วมกิจกรรมกับพี่น้องที่ภาคอีสาน และจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อทำกิจกรรมกับแกนนำส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นนายวันเฉลิม กุนเสน ได้ตั้งโต๊ะอ่านแถลงการณ์ขอให้มีการตรวจสอบการทำงานของสื่อมวลชน โดยฝากหนังสือกับนายอัมพร แสงแก้ว นายกสมาคมนักข่าวพัทยา เพื่อเน้นย้ำการทำงานของสื่อมวลชนให้มีความโปร่งใส ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเป็นกลางเคียงข้างประชาชน ก่อนจะมีการปล่อยขบวนคาร์ม็อบพร้อมบีบแตรส่งสัญญาณไปตามถนนสุขุมวิท

 

โดยขบวนได้ไปกลับรถบริเวณแยกไฟแดงโรงไม้ขีดมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองพัทยา ก่อนเลี้ยวเข้าแยกถนนชัยพฤกษ์มุ่งหน้าลงหาดจอมเทียน ก่อนวนขบวนผ่านวงเวียนมัจฉานุ ใช้เส้นทางถนนเฉลิมพระเกียรติพัทยาสาย 2 ก่อนจอดรวมพลที่หน้าศาลจังหวัดพัทยา และใช้ถนนทัพพระยามุ่งหน้าต่อมายังถนนเฉลิมพระเกียรติพัทยาสาย 3 เลี้ยงขวาแยกใต้สะพานต่างระดับพัทยาใต้ ก่อนผ่านวัดชัยมงคลฯ เข้าถนนเฉลิมพระเกียรติพัทยาสาย 2 ถึงวงเวียนปลาโลมา และลงถนนเลียบชายหาดพัทยาจนถึงพัทยากลาง ก่อนแยกย้ายกันกลับ……

เก่ง ณ สงขลา รายงาน