นักธุรกิจเมืองพัทยาท้อแต่ไม่ทิ้งพนักงาน เนรมิตพื้นที่เป็นแปลงผักสวนเกษตร พยุงปากท้องลูกน้องกว่า 20 ครอบครัวฝ่าวิกฤตโควิด-19
นักธุรกิจเมืองพัทยาท้อแต่ไม่ทิ้งพนักงาน เนรมิตพื้นที่เป็นแปลงผักสวนเกษตร พยุงปากท้องลูกน้องกว่า 20 ครอบครัวฝ่าวิกฤตโควิด-19
นางอำพร แก้วแสง นักธุรกิจสถานประกอบการเมืองพัทยา ที่ได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนไม่สามารถเปิดธุรกิจได้มาร่วม 2 ปี ตั้งแต่การระบาดในระลอกแรก ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงผักสวนเกษตรภายในซอย 1 ถนนพัทยาใต้ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังปรับเปลี่ยนแผนการใช้ชีวิตให้กลุ่มพนักงานสามารถพยุงชีพได้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะ
โดย นางอำพร แก้วแสง หรือพี่น้อย เปิดเผยว่า ตั้งแต่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในรอบแรก ธุรกิจในเครือได้รับผลกระทบไปเต็มจนต้องปิดร้านตามมาตรการ พนักงานส่วนหนึ่งก็กลับภูมิลำเนาบ้านเกิด ส่วนที่ไม่กลับก็หันมาหารายได้เสริมด้วยการวิ่งรับส่งอาหาร หรือทำงานโรงงาน ทางเราก็ยังดูแลช่วยเรื่องในเรื่องของห้องพัก น้ำไฟ และอาการการกินฟรีเพื่อช่วยเหลือในช่วงที่ได้รับความเดือดร้อน
ทั้งนี้ พนักงานที่มีอยู่จากธุรกิจทั้ง 2 ร้าน รวม 20 กว่าครอบครัว จึงมีแนวคิดในการทำแปลงผักสวนเกษตรรวมประมาณ 4-5 ไร่ บนพื้นที่ทั้งหมด 10 กว่าไร่ ให้พนักงานช่วยกันปลูกผักสวนครัว เลี้ยงปลาดุกและไก่ไข่ เพื่อช่วยค่าใช้จ่ายประจำวัน โดยเริ่มลงแปลงปลูกตั้งแต่ช่วงแรกของการแพร่ระบาดจนปัจจุบันมีผลผลิตทางการเกษตรที่สามารถตอบโจทย์ช่วยเหลือครอบครัวพนักงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
นางอำพร แสงแก้ว บอกต่อว่า เราต้องช่วยดูแลกันช่วยกันพยุงให้ผ่านวิกฤต ถึงแม้ว่าจะท้อแต่ก็ต้องสู้ ประมาณ 2 ปี ที่ร้านต้องปิดไป แต่เราจะไม่ทอดทิ้งพนักงาน การทำแปลงสวนเกษตรก็จะช่วยพนักงานไปได้ส่วนหนึ่ง ในอนาคตก็นำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายให้พนักงานได้มีรายได้เพิ่มด้วยการใช้พื้นแปลงผัก เลี้ยงไก่ไข่ และบ่อปลาดุก ที่ช่วยกันทำขึ้นมา โดยฟลังจากนี้จะได้ทำการขยายต่อบ่อปลาดุก หลังได้ทดลองในบ่อเล็กจนเข้าระบบ
สำหรับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ถึงแม้ขณะนี้สถานการณ์รุนแรงมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้วัคซีนครบแล้วหลายๆ อย่างจะดีขึ้นตามมาอย่างแน่นอน ธุรกิจต่างๆ ก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง พร้อมที่จะเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ในช่วงปลายปีนี้……..
เก่ง ณ สงขลา รายงาน